วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ปี 2012 สำคัญไฉน ?

สำหรับโลโก้โอลิมปิก ลอนดอน 2012 ที่หลายคนวิพากวิจารณ์ว่าไม่ได้เรื่อง แต่มันกลับถูกผลักดันให้ใช้จนได้
พอแกะรหัสออกมาแล้ว สรุปมันคือคำว่า
“ZION” โดยชัดเจน
พวกไซออนิสต์มีเป้าหมายอะไรกับปี 2012 เป็นเรื่องที่ต้องติดตามต่อไป

New world order บรรลุเป้าหมาย

การเปลี่ยนโลก อิลลูมินาติในแต่ละประเทศจะทำสำเร็จหรือไม่? หันมาดูในประเทศไทย เสธ.ทหารนายหนึ่งได้เผยเอกสารลับทางเว็บไซท์ถึงคำสั่งจากอิลลูมินาติ ซึ่งเป็นรหัสภาษาฮิบรูให้มีการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย

ดูศาสตร์ของการถอดรหัสได้ที่

http://www.masoncode.com/Hebrew%20gematria.htm

http://www.amazon.com/Baron-James-Rise-French-Rothschilds/dp/0865650284

http://www.bible-codes.org/mene-bible-prophecy-nun-tet-atbash.htm

จากเอกสารลับข้างต้น สรุปได้ว่ามีคำสั่งดังนี้

Year 766 13 = เริ่มปฏิบัติการเปลี่ยนระบอบ วันที่ 13 สิงหาคม 2006 = 766
Tai Elul 772 Thailand 28 Aug 2012
= สิ้นสุดปฏิบัติการ วันที่ 28 สิงหาคม 2012 = 772
จะสังเกตได้ว่าช่วงนั้นเป็นช่วงม็อบสนธิสู้อยู่กับรัฐบาลทักษิณ และเมื่อมีคำสั่งมา คมช. ทำรัฐประหารล้มรัฐบาล วันที่ 19 กันยายน 2006 (หลังคำสั่งปฏิบัติการ 1 เดือน 1 สัปดาห์)

สำหรับประเทศไทยถูกคำสั่งให้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงโดยเริ่มปฏิบัติการตั้งแต่ปี 2006 และมีเป้าหมายให้เสร็จภารกิจในปี 2012 ซึ่งเราก็ต้องคอยจับตาดูว่า ในปีนั้นจะมีอะไรเกิดขึ้นเป็นปรากฏการณ์ใหม่ๆในเมืองไทย

นอกจากนั้นแล้วในตำราหมอดู ดวงชะตา และไสยศาสตร์ ก็มักจะให้ความสำคัญเกี่ยวกับปี 2012 โดยมีกล่าวถึงอย่างมากมาย นั่นก็เชื่อมโยงให้เห็นถึงความเคลื่อนไหวของอิลลูมินาติสากล

ล้างโลกหรือโละล้างมนุษย์ ?

ปรัชญาของอิลลูมินาติเกี่ยวกับวันสิ้นโลกคือ การต่อสู้ดินรนให้อยู่รอด กล่าวคืออิลลูมินาติไม่ได้เชื่อเหมือนศาสนาอิสลามและคริสต์ ว่าวันสิ้นโลกคือวันสูญสลายของโลกภพปัจจุบัน ไม่มีสิ่งใดจะเหลืออยู่ ซึ่งเป็นการเริ่มของวันพิพากษา แต่สำหรับอิลลูมินาตินั้นกลัวโลกหน้า กลัวที่จะกลับไปเผชิญกับการถูกพิพากษา ฉะนั้นพวกเขาจึงหลอกตัวเองหรือปลอบใจตัวเองว่าวันสิ้นโลกหมายถึงการที่โลก เกิดภัยพิบัติรุนแรงถึงขั้นล้างโลก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมนุษย์กลุ่มหนึ่งจะสามารถอยู่รอดต่อไปได้ สามารถหนีอำนาจของพระเจ้าได้ด้วยกับการพัฒนาความสามารถทางด้านเทคโนโลยี

ด้วย เหตุนี้เราจึงเห็นภาพยนตร์บางเรื่องที่ทำเกี่ยวกับเรื่องการสิ้นโลก เช่นดาวพุ่งชนโลกบ้าง น้ำท่วมโลกบ้าง แต่แล้วก็มีคนกลุ่มหนึ่งที่อยู่รอดขยายเผ่าพันธุ์ต่อไป เดิมทีพวกเขาเคยปั่นหัวให้ชาวโลกตื่นตระหนกกับปี 2000 โดยเฉพาะชาวคริสต์ที่มักเชื่ออะไรตามคำร่ำลือก็หลงเชื่อไปตามๆกันว่าโลกจะแตก ถึงตอนนี้ ปี 2012 ปี สำคัญแห่งการเปลี่ยนแปลงโลกของอิลลูมินาติ พวกเขาได้นำตัวเลขนี้มาปั่นหัวให้ชาวโลกส่วนหนึ่งตื่นตระหนกอีกครั้งกับข่าว ลือที่ว่าดาวจะพุ่งชนโลก บ้างก็ว่าจะทำให้โลกหยุดหมุนชั่วขณะ แล้วจากนั้นจะหมุนกลับทิศ กลายเป็นว่าทำให้เห็นดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก ซึ่งจะเป็นอย่างนี้เรื่อยไป

ความจริงแล้วอิลลูมินาติไม่ได้เชื่ออะไรแบบนั้น แต่ในนัยยะของเขา เขาพูดเป็นเชิงอุปมา จริงๆมันก็คือการเปลี่ยนโลกนั่นเอง (Change)
เกร็ดเสริม

เดวิด มอร์ริสัน (David Morrison) นักวิทยาศาสตร์นาซ่าบอกว่าเรื่องโลกแตกปี 2012 โดยทางดาราศาสตร์แล้วถือเป็นแค่ ข่าวลือ เท่านั้น โดยที่ดร.มอร์ริสันระบุว่าเป็นอาการ วิตกจักรวาล (cosmophobia) ที่เอาไว้หลอกลวงผู้คนที่ไม่รู้

สำหรับศาสนาอิสลามแล้วสามารถให้คำตอบได้เลยว่าเรื่องขี้โม้เรื่องโลกแตกปี 2012 หรือ โลกหมุนกลับทิศนั้นจะไม่เกิดขึ้นแน่นอน เพราะกรณีเดียวที่ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตกได้ก็คือวันสุดท้ายของ มนุษย์และสรรพสิ่งในสากลจักรวาลนี้ และการที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกในที่นี้ ไม่ได้เป็นไปตามหลักธรรมชาติ คือเป็นปาฏิหาริย์สุดท้ายที่เกิดขึ้นบนโลก ทั้งนี้เพื่อเป็นการเย้ยผู้ปฏิเสธศรัทธา (หรือพวกบูชาวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย) ที่ในขณะนั้นปฏิเสธสิ่งเร้นลับ ปฏิเสธพระเจ้า ปฏิเสธสิ่งเหนือธรรมชาติโดยเฉพาะเรื่องนี้ว่าไม่มีทางเกิดขึ้นได้ แต่ถึงตอนนั้นเมื่อยอมรับความจริงมันก็สายไปเสียแล้ว

ถึง แม้จะไม่มีใครรู้เวลาของวันสิ้นโลก แต่เราสามารถพูดได้อย่างมั่นใจว่าวันสิ้นโลกจะไม่เกิดขึ้นพรุ่งนี้ หรือวันศุกร์นี้ หรือปีหน้า เพราะสัญญาณใหญ่หลักๆนั้นยังไม่เกิดขึ้น นั่นก็คือการมาของบุคคลที่โลกรอคอย นั่นคืออิหม่ามมะฮดีย์, นบีอีซา (เยซู), และดัจญาล ตลอดจน Gog – Magog หรือยะอญูจญ์- มะอญูจญ์ บุคคลมหัศจรรย์เหล่านี้ต้องมาเสียก่อน จากนั้นจึงจะไม่สามารถพูดได้อีกแล้วว่าวันสิ้นโลกจะยังไม่เกิด

สำหรับ มุสลิมที่มีหลักศรัทธา (อากีดะฮฺ) คลาดเคลื่อนต้องทำความเข้าใจเสียใหม่ว่า สัญญาณวันสิ้นโลกเหล่านี้ไม่ใช่อุปมา สิ่งใดในศาสนาที่เป็นการอุปมาเราก็สามารถเข้าใจได้ง่ายว่ามันคืออุปมา แต่สำหรับเรื่องราวเหล่านี้ มีตัวบทหลักฐานที่ขยายรายละเอียดโดยชัดเจน ไม่สามารถตีความเป็นอื่นได้ เช่นเดียวกับวันสิ้นโลก ก็ไม่ใช่อุปมา และเรื่องดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกก็ไม่ใช่วิทยาศาสตร์อย่างที่หลายคน พยามให้เป็น

ในโลกภพนี้ นอกจากพระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างแล้วก็ยังได้วางกฎเกณฑ์เอาไว้ด้วย นั่นก็คือสิ่งเรียกว่า กฎธรรมชาติ หรือเรียกให้เข้าใจง่ายๆว่า กฎธรรมดา ก็คือความเป็นไปโดยปกติ คืออยู่ในกรอบของวิทยาศาสตร์

แต่ เนื่องจากบางครั้งบางครา พระเจ้าผู้สร้างกฎก็ประสงค์ที่จะทำสิ่งที่นอกเหนือกฎเช่น ไฟ ธรรมชาติของมันคือร้อน แต่พระองค์ก็สร้างปาฏิหาริย์โดยการทำให้มันเย็นสำหรับบางคน อย่างกรณีที่นบีอิบรอฮีมถูกสมมุติเทพของพวกอิลลูมินาติลงโทษโยนเข้ากองไฟ

หรือ อย่างการกำเนิดทารก โดยธรรมชาติคือต้องมีอสุจิของเพศชายผสมกับไข่ของเพศหญิง แต่เมื่อพระองค์ประสงค์ให้มีปาฏิหาริย์นอกเหนือกฎ พระองค์ก็ทำให้ทารกกำเนิดมาเฉยๆอยู่ในมดลูกโดยไม่ต้องผ่านการปฏิสนธิ อย่างกรณีของนบีอีซา (เยซู) ทำให้นางมัรยัม (แมรี) ผู้บริสุทธิ์ไม่มีสามี จึงสามารถมีบุตรได้ และไม่ใช่บุตรแห่งเทพแต่ประการใด

เช่น เดียวกับการที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก ไม่จำเป็นต้องมีดาวมาชนแล้วโลกหมุนกลับทิศ ไม่จำเป็นที่จักรวาลจะต้องม้วนกลืนกันตามทฤษฎีขยายตัวและหดตัว แต่หากพระเจ้าประสงค์จะให้ดวงอาทิตย์มันขึ้นผิดทิศซะเฉยๆ ผิดกฎธรรมชาติ มันก็ย่อมเป็นไปตามนั้น

อับดุล อะซีซ กลุ่มอัซซาบิกูน



Read More

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ณ.ระนอง

السلام عليكم ورحمة الله وبركاته

ทริปนี้คงต้องย้อนกันไกลเพราะเป็นความทรงจำที่ยากที่จะลืมเลือน
เพราะมันเป็นทริปที่ทุกคนประทับใจ เป็นทริปที่เต็มไปด้วยการพจนภัยที่สุดยอด
ที่สุดในการเดินทางของทุกคน....
เราเริ่มเดินทางสู่ระนองหลังจากเสร็จสิ้นการสอบปลายภาคต้นปี49 ตอนเรียนภาษาที่ปารามีแต
เป้าหมายของเราอยู่ที่น้ำตกโตนกลอย อ.สุขสำราญ
เรานั่งรถไฟจากยะลาไปหาดใหญ่ต่อด้วยรถทัวร์หาดใหญ่ระนอง
ถึงราชกรูดประมาณตีสาม แล้วต่อรถทัวร์กรุงเทพ-ภูเก็ต ไปยังอ.สุขสำราญ
เราถึงถึงบ้านของสหายมูฮัมหมัด ณ โตนกลอย เกือบซุบฮีพอดี....

เราใช้เวลาหนึ่งวันเพื่อพักผ่อนและเตรียมสัมภาระที่ใช้ในเดินทางเข้าอุทธยานแห่งชาตฺิ...
(จำบ่ได๋ ชื่อรัย^_^)
วันต่อมา...เราออกเดินทางหลังมื้อเช้าเวลาแปดโมงกว่าๆ แต่อากาศตอนนั้นยังคงหนาวและมีหมอกเย็นชื่นใจ...

การเดินทางไปยังที่หมายนั้นเราเดินลัดเลาะไปตามน้ำตก ระหว่างทางเราด้พกับพันฐ์ไม้และร่องรอยของสัตว์ออกมาหากิน มีทั้งรอยเท้าของเก้ง เลียงผา หมูป่า หรือแม้กระทั้งหมี ก็ยังมี ส่วนนกนั้นคงไม่ต้องพูดถึง ไม่รู้กี่ชนิด แต่ที่แน่ๆ ที่นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้เห็นฝูงนกเงือกบินเป็นร้อยตัว....

สัมภาระเราเตรียมพร้อม เต้น มีด เหล็กยิงปลา แว่นดำน้ำ ขาดไม่ได้คืออาหารแห้งและยา เพราะทริปนี้เราจะนอนกันในป่าแห่งนี้สองคืน ระหว่างทางเรายิงปลาเก็บเรื่อยๆเพื่อเป็นข้าวมื้อข้างหน้า


ยังงัยเราก็ลุย

โชคดีระหว่างทางพบกับต้นไม้ชนิดหนึ่ง เขาว่ากันว่าพบหาได้ยาก เห็นชาวบ้านเขาเรียก กระโทนพรรณรายณ์ หรือ กระโทนฤษี

รอดแล้วงานนี้

มื้อแรกในป่าเขาแห่งนี้คือต้มยำปลเพงตัวบิ๊ก (ใส่เครื่องบะหมี่ซือดะรสต้มยำ...มื้อต่อไปก็กินบะหมี่สดไม่เครื่อง...เหอๆ)

คืนแรกเรานอนกันที่เพิงหินเปนถ้ำขนาดเล็ก จุคนได้ประมานแปดคน เวลานอนเราต้องตั้งเวรดูไฟที่ก่อไว้ด้านหน้าทางเข้าเพื่อกันสัตว์ป่าเข้าไป

เช้าวันใหม่เราตื่นขึ้นมาพร้อมบรรยากาศเต็มไปด้วยหมอก (หนาวมั๊กๆ)บวกกับมื้อเช้าเรามีขนมปังกับกาแฟในกระบอกไม้ไผ่หอมกรุ่นไม่บอกใคร ^_^

เราเตรียมข้าวของพร้อมที่เดินทางต่อ....ปลายทางอยู่ที่โตนพญานาค...

เบื่องหลังเราที่เห็นนั้นคือภูเขาที่สลับสับซ้อน สุดสายตาคือทะเลอันดามัน ทีนี่คือโตนพญานาคที่เรารอคอย

ณ จุดนี้เราเห็นฝูงนกเงือกบินเปนร้อยต้วเลยทีเดียว ส่วนเบื่องหน้าของเรานั้นคือหน้าผาสูงชันมีไอน้ำฟุ้งกระจายจากน้ำตกอย่างสวยงาม....

เราตั้งใจจะกางเต้นนอนกันคืนนี้ที่นี่ เพราะบรรยากาศจุดนี้ถูกใจเหลือเกิน....

มื้อค่ำข้าวสวยกับปลาเพงย่างเกลือ สุดยอด!!!

แถมอีกนิดกับของหวานถั่วเขียวต้มยามดึก ตามด้วยกาแฟกระบอกไม้ไผ่(มะไช่กัญชาน่ะวุ้ย!!!)แล้วนอนชมดาว....

วันรุ่งขึ้นเราเก็บของเตรียมตัวเดินทางลงไปเรื่อยๆพร้อมกับยิงปลาสำหรับมี้อเที่ยงเสบียงที่เราเตรียมกันมานั้นตอนนี้เหลือเพียงข้าวสารกับเกลือ แต่ขอบอกเลยว่าเป็นมื้อสุดท้ายอร่อยที่สุดเท่าทีอยู่ในป่าเขาแห่งนี้ทั้งสามวันสองคืน... (รสชาติของคำว่าข้าวคลุกเกลือมันอย่างนี้นี่เองงงงงงงงงงงงง!!!!)

เราถึงหมู่บ้านในเย็นวันนั้นเวลาประมาณ ห้าโมงเย็น โดยมีชาวบ้านมารอเป็นสิบคนเพราะหากว่าเราไม่ลงมาจากน้ำตกตามเวลาที่ว่าไว้ชาวบ้านจะขึ้น ไป ถ้าเกิดอะไรขึ้นจะได้ช่วยทัน อย่างที่ว่าตลอดสามวันที่เราอยุ่ข้างบนเราไม่สารารถติดต่อใครได้เลย เพราะไม่มีคลื่นโทรศัพท์เลย...








Read More